Menu
Menu
เช็คสภาพรถตามระยะการใช้งาน ควรเข้าเช็คเมื่อไหร่?

การดูแลรักษารถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้รถของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมีสมรรถนะที่ดีอยู่เสมอ หนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการดูแลรักษารถยนต์ก็คือ การเช็คสภาพรถตามระยะการใช้งาน ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในรถยนต์ แต่เราควรเข้าเช็คสภาพรถเมื่อไหร่บ้าง การตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะทางและระยะเวลาใช้งาน เพื่อให้รถของคุณอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเสมอ

1.การเช็คสภาพรถทุก 5,000 – 10,000 กิโลเมตร (หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต)

สิ่งที่ต้องตรวจเช็ค

เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง : น้ำมันเครื่องเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องยนต์ หากใช้งานไปนาน ๆ น้ำมันเครื่องจะเสื่อมคุณภาพและอาจส่งผลต่อสมรรถนะของรถยนต์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนดจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ตรวจสอบไส้กรองน้ำมันเครื่อง : ไส้กรองน้ำมันเครื่องมีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกออกจากน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่น

เช็คระดับน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเบรก : ควรตรวจสอบระดับของเหลวต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการเบรกไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจสอบแรงดันลมยางและดอกยาง : ยางรถยนต์ที่มีแรงดันลมที่เหมาะสมจะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยและช่วยประหยัดน้ำมัน

2.การเช็คสภาพรถทุก 20,000 – 30,000 กิโลเมตร

สิ่งที่ต้องตรวจเช็ค

เปลี่ยนไส้กรองอากาศ : ไส้กรองอากาศมีหน้าที่กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ หากไส้กรองอากาศอุดตัน อาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นและสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น

ตรวจสอบเบรก : ควรเช็คผ้าเบรกและจานเบรกว่ามีการสึกหรอมากน้อยเพียงใด เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

ตรวจสอบช่วงล่างและระบบกันสะเทือน : หากมีเสียงดังหรืออาการสั่นสะเทือนผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของช่วงล่างที่ต้องได้รับการซ่อมแซม

เช็คระบบไฟส่องสว่าง : ไฟหน้ารถ ไฟท้าย ไฟเบรก และไฟเลี้ยวต้องอยู่ในสภาพดี เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น

3.การเช็คสภาพรถทุก 40,000 – 50,000 กิโลเมตร

สิ่งที่ต้องตรวจเช็ค

เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ (ถ้าจำเป็น) : น้ำมันเกียร์มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบเกียร์ หากน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ อาจทำให้การเปลี่ยนเกียร์กระตุกหรือเกิดความเสียหายกับชุดเกียร์

เช็คแบตเตอรี่ : แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี ควรเช็คแรงดันไฟฟ้าและขั้วแบตเตอรี่เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพที่ดี

ตรวจสอบหัวเทียน : หัวเทียนมีหน้าที่จุดระเบิดในห้องเผาไหม้ หากหัวเทียนเสื่อมสภาพ อาจส่งผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการทำงานของเครื่องยนต์

4.การเช็คสภาพรถทุก 80,000 – 100,000 กิโลเมตร

สิ่งที่ต้องตรวจเช็ค

เปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง (ถ้าจำเป็น) : สายพานไทม์มิ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ หากสายพานขาด อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายรุนแรงได้

เปลี่ยนน้ำมันเบรกและน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ : การเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามระยะเวลาที่กำหนดจะช่วยให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจสอบระบบแอร์และเปลี่ยนไส้กรองแอร์ : เพื่อให้ระบบแอร์ทำงานได้ดีและไม่มีกลิ่นอับ ควรเปลี่ยนไส้กรองแอร์ตามระยะเวลาที่กำหนด

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

เช็คสภาพรถตามระยะการใช้งาน

เช็คสภาพรถตามคู่มือรถยนต์ : ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายจะมีข้อแนะนำที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรตรวจสอบคู่มือรถของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ทำตามคำแนะนำที่เหมาะสม

ตรวจสอบก่อนออกเดินทางไกล : หากต้องขับรถระยะไกล ควรเช็คสภาพรถก่อนเดินทางเพื่อความปลอดภัย

เข้าศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน : การนำรถเข้าศูนย์บริการของแบรนด์หรืออู่ที่มีคุณภาพจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าการซ่อมบำรุงเป็นไปตามมาตรฐาน

ดังนั้นการเช็คสภาพรถตามระยะทางที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์ของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและขับขี่ได้อย่างปลอดภัย โดยควรตรวจสอบและบำรุงรักษาตามคำแนะนำของผู้ผลิต ทั้งนี้หากคุณพบปัญหาใดๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของคุณ อย่าละเลยที่จะเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณและผู้ร่วมทางคนอื่น

ดูรถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณที่ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ ดูรุ่นรถหรือโปรโมชั่น สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Toyota Nakornping Chiang Mai – โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่

📞 สาขาสำนักงานใหญ่ 053-999-888
📞 สาขาสันทราย 053-999-666
📞 สาขาลำพูน 052-030-999

Leave a Comment

Compare Listings

Compare (0)